Support
jjpra
084-1438999 # 081-3548618
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

พุทธกับไสยศาตร์

tongtip | 11-02-2554 | เปิดดู 51844 | ความคิดเห็น 0

 

    

ไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดศาสตร์หนึ่งสำหรับคนไทย มีบันทึกไว้ใน

ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม ประมาณพ.

ศ.๒๑๖๘ ให้จัดตั้งกระทรวงแพทยาคม เพื่อชำระคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคุณไสย เสน่ห์ยา

แฝด ฝังรูปด้วยวิทยาคม กฎหมายบัญญัติลงโทษผู้กระทำผิดในการใช้คุณไสยและ

วิทยาคมทำร้ายผู้อื่นทางอาญา กระทรวงนี้มีผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมเป็นตุลาการ มีหน้าที่

สอบสวนพิจารณาโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์เรื่องคุณไสยโดย

เฉพาะ
            ในหนังสือวรรณกรรมต่าง ๆ มีการกล่าวถึงเรื่องทางไสยศาสตร์อยู่

มากมาย แม้ว่าจะเป็นความเกินเลยของจินตนาการมนุษย์ แต่ก็มีเค้ามูลที่มาจากความเป็น

จริง ประเพณี และวิถีปฏิบัติของผู้คนในสมัยนั้น เสภาขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณกรรมที่มี

เรื่องราวเหล่านี้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง

         ในสังคมไทย พระพุทธศาสนากับไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ดัง

คำกล่าวที่ว่า “พุทธกับไสยย่อมอาศัยกัน” ทั้งนี้เพราะก่อนที่คนไทยจะนับถือพระพุทธศาสน

ก็นับถือผีมาก่อนแล้ว ซ้ำยังได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาทั้งก่อนและ

พร้อมกับพระพุทธศาสนา จึงทำให้ผสมผสานองค์ประกอบของความเชื่อทั้งสามไปด้วยกัน
          

            ในทางนิรุกศาสตร์ คำว่า “ไสยะ” นี้แปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่า นอน

หลับอยู่ก็ได้ หรือจะแปลว่า ดีกว่า ก็ได้ ความหมายแรก ไสยะ แปลว่า นอนหลับ ตรงกัน

ข้ามกับพุทธะ ซึ่งแปลว่า ตื่นจากหลับ  เป็นอันว่า ไสยศาสตร์ตรงกันข้ามกับพระพุทธ

ศาสนา ประหนึ่งว่าการนอนหลับกับการตื่นอยู่ ความหมายที่ ๒ แปลว่า ดีกว่า หมายถึงดี

กว่าอะไร ๆ ที่มีอยู่ก่อนไสยศาสตร์  เป็นที่พึ่งของมนุษย์ที่มีสัญชาตญาณกลัวภัย จำเป็น

ต้องหาอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยว

         พระยาอนุมานราชธนให้ความหมายของไสยศาสตร์ไว้ในหนังสือชีวิตชาว

ไทยสมัยก่อนว่า “ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนต์คาถา ซึ่งถือว่าได้มาจากอินเดีย ถ้าเป็นตำรา

ว่าด้วยเรื่องนี้ เรียกว่าไสยศาสตร์ ไสยและไสยศาสตร์ สองคำนี้ ใช้เป็นสามัญแทนกันได้

หมายถึงความเชื่อและความรู้เนื่องด้วยสิ่งลึกลับอยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถจะทราบ

และพิสูจน์ได้ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องผีสางเทวดา เรื่องความขลังความ

ศักดิ์สิทธิ์ และรวมทั้งเรื่องโชคลางด้วย”

         ในเรื่องไสยศาสตร์ คำว่า เวทมนต์คาถา เป็นคำที่มีความหมายสำคัญที่สุด

ซึ่งเวทมนต์คาถานี้ได้รับการถ่ายทอดสืบ ๆ กันมา โดยใช้เพื่อให้เกิดความขลัง ความ

ศักดิ์สิทธิ์ โดยผู้ใช้ไม่รู้ความหมายของเวทมนต์คาถานั้น  ๆ แต่อย่างใด แต่อาจทราบเลา

ๆว่า เป็นเมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด แค่เมื่อเอามาแปลในทางไวยากรณ์

บาลีอาจไม่ถูกต้องตามหลัก เป็นแต่มีความเชื่อเป็นที่ตั้ง จึงก่อให้เกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ดัง

กล่าวขึ้นมาได้

         ในที่นี้เน้นกล่าวถึงความเชื่อในเรื่องความขลังความศักดิ์สิทธิ์อันได้จาก

เครื่องรางของขลังต่าง ๆ  (เครื่องรางคือของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟัน

ไม่เข้า  เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล เป็นต้น  ของขลัง คือของที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์

ที่เชื่อกันว่าอาจบันดาลให้สำเร็จได้ดังประสงค์)
      

           ในสมัยโบราณ เครื่องรางของขลังเป็นที่นิยมกันมาก มีทั้งที่เกิดโดย

ธรรมชาติ เช่น ว่านยา เหล็กไหล หรือเพชรนิลจินดาที่รวมเรียกกันว่า นพรัตน์ เพื่อให้

ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เจ้าของจะนำมาลงเลขยันต์ปลุกเสกด้วยคาถาอาคม โดยเฉพาะสิ่งที่ดูแล้ว

ธรรมดา ๆ เช่น พวกเขี้ยวงา เขา ถ้าเป็นไม้ก็เป็นพวกไม้รักไม้ยม เอามาแกะเป็นตัวรักยม

ไม้โพธิ์มาแกะเป็นพระพุทธรูป ไม้งิ้วดำมาแกะได้สารพัดอย่าง แม้กระทั่งมาแกะเป็นปลัดขิก

หมอยาพื้นบ้านไทยและชาวจีนถือว่าไม้งิ้วดำเป็นยาอายุวัฒนะมักนำมาประกอบยา

สมุนไพร ว่ากันว่าบางคนทำตะเกียบ ถ้าหยิบอาหารที่เป็นพิษ ตะเกียบจะเปลี่ยนสีทันที บาง

คนทำเป็นพัด ถ้ามีอากาศพิษ พัดที่ถืออยู่จะเปลี่ยนสี หมอยาบางคนใช้ไม้งิ้วดำตรวจรักษาโรค

         บางครั้งใช้ผ้า เช่น ผ้าขาวหรือผ้าแดงมาลงอักขระเลขยันต์ ทำเป็นผ้ายันต์

เสื้อยันต์ ใช้สวมใส่ผูกคอ  พันศีรษะหรือผูกแขน นำไปถักเป็นแหวนลงรักปิดทองสวมใส่

นิ้วมือที่เรียกกันว่า แหวนพิรอด บางอย่างใช้ด้ายดิบทำ เช่น ด้ายมงคลสำหรับสวมศีรษะ

หรือด้ายสายสิญจน์ หรือทำด้วยโลหะเงินทองหรือนากก็มี นำมาตีแผ่ให้เป็นแผ่นบาง ๆ สี่

เหลี่ยม แล้วลงอักขระเลขยันต์ ม้วนเข้าให้กลมเรียกว่าตะกรุด หรือทำเป็นรูปพับเป็นสี่

เหลี่ยมทำหูห้อยร้อยเชือกเรียกว่าพิสมร ซึ่งเชื่อกันว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม

         ในอดีต การทำเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะผู้ชาย คน

เหล่านี้ต้องการในกรณีพิเศษคือเมื่อออกรบทัพจับศึก เสภาขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงทหารที่

ออกรบในสมัยนั้นว่า

“สวมสอดเสื้อลงใส่มงคล             ล้วนอยู่ยงคงทนซึ่งศัสตรา

บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพลว่าน            บ้างอยู่ด้วยโอมอ่านพระคาถา

บ้างอยู่ด้วยเลขยันต์น้ำมันทา           บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน

บ้างอยู่ด้วยเงี้ยวงาแก้วตาสัตว์          บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน

บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังฝังเพชรนิล          ล้วนอยู่สิ้นทุกคนทนศัสตรา”

         อาวุธที่ใช้ป้องกันตัวและออกรบคือมีดดาบก็ต้องเป็นของวิเศษ ใช้โลหะ

หลายอย่างที่เชื่อว่าไม่ได้มีอานุภาพตามธรรมชาติอย่างเดียว แต่มีความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์

ในตัวด้วย จะได้ไม่เพียงแต่คม แต่สามารถฟาดฟันดั่งใจหมายได้ โลหะที่ดีต้องหายากและ

มาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังกรณีที่กล่าวไว้ในเรื่องขุนช้างขุนแผนว่า

“เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ           ยอดปราสาทวารามาประสม

เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม             เหล็กตรึกโลงตรึกปั้นลมสลักเพชร

หอกสัมฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก        เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด

พร้อมทั้งเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด          เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้

เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง         เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่

ทองคำสัมฤทธิ์นากอะแจ                เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง”

         ดาบนี้นับเป็นของวิเศษขนาดที่ว่า เห็นต้นรังงามสามกำกึ่ง หวดผึงขาดพับ

ลงกับที่ เบาไหลไม่ระคายคล้ายหยวกปลี” และถ้าดีจริงก็คงสู้กับคาถาอาคมของศัตรูได้

ด้วย ศัตรูที่ขึ้นชื่อว่าคงกระพันก็ไม่อาจทนต่อดาบวิเศษเช่นนี้ได้

      

การตีดาบตีเหล็กและการทำเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ต้องมีการดูฤกษ์ยาม เสร็จจากการตี

การผสมแล้วก็ต้องมีพิธีพุทธาภิเษก ทำนองใช้กระแสจิตดึงเอาพระพุทธคุณต่าง ๆ มาเข้าบรรจุไว้

         พระยาอนุมานราชธนสรุปว่า “ชนชาติไทยนับถือศาสนาต่าง ๆ ซ้อนเป็น

อย่างรูปเจดีย์อีกเหมือนกัน คือนับถือผีสางเทวดาเป็นพื้นฐาน ถัดขึ้นไปนับถือไสยศาสตร์

ซึ่งมีอยู่ในศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดู  แล้วจึงนับถือพระพุทธศาสนาเป็นดังชั้น

ยอดของเจดีย์ ความเชื่อทั้งสามคตินี้ นับถือเคล้าคละปะปนกันไป จะถืออย่างไหนมากหรือ

น้อยกว่ากันก็สุดแล้วแต่ชาติชั้นและการศึกษาของคนในหมู่ ซึ่งมีไม่เท่าเทียมกัน ใครจะถือ

หนักไปทางไหน ถ้าไม่เป็นเครื่องเบียดเบียนหรือเดือดร้อนเสียหายแก่ตนและคนอื่น ก็ถือไปไม่มีใครว่าอะไร”

         เรื่องเดียวกันเป็นได้ทั้งพุทธศาสตร์หรือจะเป็นไสยศาสตร์ ถ้าเป็นการทำ

ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ เช่น พระเครื่อง ถ้าเข้าใจว่าเป็นอนุสติระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระ

ธรรมและพระสงฆ์ ก็เป็นพุทธศาสตร์ ถ้าเป็นเรื่องความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ อันเกิดด้วย

พลังศรัทธาของผู้บูชาก็เป็นเรื่องไสยศาสตร์

         พระพุทธศาสนากับไสยศาสตร์มีความแตกต่างกันมาก คือพระพุทธศาสนา

สอนให้คนรู้จักใช้ปัญญาคิดด้วยเหตุผล เมื่อคิดเห็นจริงแล้วว่าสิ่งใดดี มีผู้รู้ยกย่องว่าเป็น

ความสุขความเจริญ ก็จงปฏิบัติสิ่งนั้นให้มีอยู่ในตนยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตรงกันข้าม ถ้าคิดเห็นจริง

แล้วว่า สิ่งใดชั่ว ผู้รู้ติเตียนว่าเป็นความทุกข์ความเสื่อม ก็จงพยายามละทิ้งเสีย อย่าให้กล้ำ

กรายเข้ามามีอยู่ในตน

         ส่วนไสยศาสตร์เป็นเรื่องของความเชื่อมากกว่าเป็นเรื่องของปัญญา ถ้ามี

ความเชื่อแต่ไม่ใช้ปัญญาเข้าช่วย ก็อาจเข้าถึงความสุขได้เหมือนกัน แต่ความสุขนั้นมัก

เป็นความสุขชั่วแล่นผิดจากความสุขที่เกิดจากปัญญา ซึ่งอาจเป็นความสุขที่ถาวรก็ได้

เพราะเหตุนี้ ตามหลักพระพุทธศาสนาถ้าผู้ใดมีปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผล เห็นจริงตามที่

แนะสอนไว้ และประพฤติปฏิบัติตนไปตามนั้นโดยลำดับ ก็จะประสบความสุขเป็นขั้น ๆ จน

กว่าจะบรรลุความสุขที่แท้จริงเป็นที่สุด ซึ่งเรียกว่า นิพพาน

         สรุปว่าไสยศาสตร์ก็เป็นศาสตร์หนึ่งซึ่งมีความเชื่อเป็นฐานสามารถเป็นที่

พึ่งของคนได้ในระดับหนึ่ง ถ้ายังหาที่พึ่งอื่นอีกไม่ได้ ถ้าสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงเหตุผลที่

อยู่เบื้องหลังความเชื่อก็จะเป็นการดี ทำให้เราเชื่อได้อย่างถาวรพร้อมทั้งมีปัญญา

ประกอบ  ส่วนพรเป็นที่พึ่งถาวร ทำให้สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

 



 

     

ความคิดเห็น

วันที่: Sun Apr 13 22:40:19 ICT 2025

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0